Cpk (Process Capability Index) เป็นดัชนีที่ใช้ประเมินความสามารถของกระบวนการผลิตในการผลิตชิ้นงานที่ตรงตามข้อกำหนด Cpk คำนวณจากค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และขีดจำกัดของข้อกำหนด
ค่า Cpk ที่สูง บ่งบอกว่ากระบวนการผลิตมีความสามารถสูงในการผลิตชิ้นงานที่ตรงตามข้อกำหนด
ค่า Cpk ที่ต่ำ บ่งบอกว่ากระบวนการผลิตมีความสามารถต่ำในการผลิตชิ้นงานที่ตรงตามข้อกำหนด โดยทั่วไปแล้ว ค่า Cpk ที่: มากกว่า 1.33 แสดงว่ากระบวนการผลิตมีความสามารถดี อยู่ระหว่าง 1.00 ถึง 1.33 แสดงว่ากระบวนการผลิตมีความสามารถปานกลางน้อยกว่า 1.00 แสดงว่ากระบวนการผลิตมีความสามารถต่ำ
ตัวอย่าง:
สมมติว่าบริษัทผลิตชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนเหล่านี้ต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 10 มม. ถึง 12 มม. บริษัทสามารถใช้ Cpk เพื่อประเมินความสามารถของกระบวนการผลิตในการผลิตชิ้นส่วนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ตรงตามข้อกำหนด
สมมติว่า:
ค่าเฉลี่ยของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง = 11 มม.
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.2 มม.
การคำนวณ Cpk:
Cpk = (USL - LSL) / (6 * Sigma)
โดยที่:
USL = ขีดจำกัดบนของข้อกำหนด = 12 มม.
LSL = ขีดจำกัดล่างของข้อกำหนด = 10 มม.
Sigma = ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.2 มม.
Cpk = (12 - 10) / (6 * 0.2) = 1.67
เนื่องจาก Cpk = 1.67 > 1.33 แสดงว่ากระบวนการผลิตมีความสามารถดีในการผลิตชิ้นส่วนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ตรงตามข้อกำหนด
ประโยชน์ของ Cpk:
Cpk ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถประเมินความสามารถของกระบวนการผลิตได้อย่างรวดเร็ว
Cpk ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถระบุปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้
Cpk ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตได้
สรุป: Cpk เป็นดัชนีที่มีประโยชน์สำหรับผู้ผลิตที่ต้องการประเมินความสามารถของกระบวนการผลิต Cpk ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถระบุปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และปรับปรุงกระบวนการผลิตได้